ความรู้สึก วิตกกังวล ก่อนต้องพรีเซนต์งานใหญ่, กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายตอนสิ้นเดือน หรือกระวนกระวายใจตอนรถติด คือเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็เป็นกัน แต่เคยไหมที่ความกังวลเหล่านั้นไม่ยอมหายไปไหน แถมยังเกาะกินอยู่ในหัวของคุณตลอดเวลาจนนอนไม่หลับ? หรือจู่ๆ ก็ใจสั่น มือเย็น เหงื่อแตกโดยไม่มีสาเหตุ? หลายคนอาจสับสนว่าอาการที่เป็นอยู่คือความเครียดทั่วไป หรือเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่ควรจะต้องเข้าไป ปรึกษาจิตแพทย์ แล้ว บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 5 สัญญาณสำคัญ เพื่อช่วยประเมินตัวเองและไขข้อข้องใจว่าความกังวลของคุณเดินทางมาถึงจุดที่ควรมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลแล้วหรือยัง
ความกังวลธรรมดา vs โรควิตกกังวล ต่างกันอย่างไร?
ก่อนจะไปดูเช็กลิสต์ สิ่งสำคัญคือต้องแยกให้ออกระหว่าง “ความวิตกกังวลทั่วไป (Normal Anxiety)” กับ “โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)”
-
ความวิตกกังวลทั่วไป
เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียด มีเหตุมีผล และมักจะ หายไปเมื่อสถานการณ์นั้นจบลง เช่น กังวลก่อนสอบ พอสอบเสร็จก็หาย
-
โรควิตกกังวล
เป็นความกังวลที่ รุนแรงเกินกว่าเหตุ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควบคุมได้ยาก และคงอยู่นานแม้สถานการณ์จะคลี่คลายไปแล้ว จนเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
5 สัญญาณเตือน ถึงเวลาปรึกษาจิตแพทย์
หากคุณไม่แน่ใจว่าความกังวลของตัวเองอยู่ระดับไหน ลองใช้ 5 สัญญาณนี้เป็นเช็กลิสต์เบื้องต้น
1. ควบคุมความกังวลและความคิดของตัวเองไม่ได้เลย
คุณรู้สึกเหมือนสมองทำงานตลอดเวลา คิดวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น จินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดซ้ำไปซ้ำมา แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ “หยุดคิด” ก็ทำไม่ได้ ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้รบกวนคุณแทบทุกวันและเป็นเวลายาวนาน (เช่น เกือบทุกวันเป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไป) จนทำให้ไม่มีสมาธิทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
2. มีอาการป่วยทางกายที่ไม่ทราบสาเหตุ
ความ วิตกกังวล ไม่ได้ส่งผลแค่ทางใจ แต่ยังแสดงออกทางร่างกายได้อย่างชัดเจน คุณอาจพบว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้บ่อยๆ โดยที่ไปตรวจสุขภาพแล้วก็ไม่พบความผิดปกติทางการแพทย์ เช่น
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วและแรง
- หายใจไม่อิ่ม หายใจตื้นๆ
- ปวดศีรษะ ปวดตึงกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่
- เหงื่อออกตามมือและเท้า ตัวเย็น
- คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ท้องผูก ท้องเสียบ่อย อาการเหล่านี้คือสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกว่า “ฉันเครียดเกินไปแล้วนะ”
3. พฤติกรรมเปลี่ยนไป เริ่มหลีกเลี่ยงบางสิ่งบางอย่าง
เพื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวหรือความกังวล คุณเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ “หลีกเลี่ยง” สถานการณ์บางอย่างไปโดยไม่รู้ตัว เช่น ไม่กล้าขึ้นลิฟต์เพราะกลัวที่แคบ, ไม่กล้าพูดในที่ประชุมเพราะกลัวการตัดสิน, หรือไม่ยอมออกจากบ้านเพราะรู้สึกว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย การหลีกเลี่ยงอาจช่วยให้สบายใจได้ชั่วคราว แต่มันกลับยิ่งทำให้โลกของคุณแคบลงและจำกัดศักยภาพของตัวเองในระยะยาว
4. กระทบต่อหน้าที่การงานและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
จุดชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อความกังวลเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างชัดเจน เช่น ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ขาดสมาธิจนทำงานผิดพลาดบ่อยครั้ง, หงุดหงิดง่ายขึ้นจนมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือคนในครอบครัว, หรือเก็บตัว ไม่ไปพบปะเพื่อนฝูงเหมือนเคย หากคนรอบข้างเริ่มทักว่าคุณดูเปลี่ยนไป นี่อาจเป็นสัญญาณว่าความกังวลกำลังควบคุมชีวิตคุณอยู่
5. ความรู้สึกทุกข์ใจ มีมากกว่าความสุข
ลองถามใจตัวเองดูว่า ในแต่ละสัปดาห์ คุณใช้เวลาไปกับความรู้สึกกังวล กระสับกระส่าย และไม่มีความสุข มากกว่าความรู้สึกสงบและผ่อนคลายใช่หรือไม่ หากคำตอบคือใช่ และคุณรู้สึกว่าตัวเองต้อง “ต่อสู้” กับความรู้สึกเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาจนเหนื่อยล้า นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณไม่จำเป็นต้องแบกรับมันไว้คนเดียว การ ปรึกษาจิตแพทย์ คือการหาเครื่องมือและแนวทางที่ถูกต้องเพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง
สรุป
เมื่อเช็กลิสต์อาการวิตกกังวลทั้ง 5 ข้อแล้วพบว่าตัวเองมีสัญญาณเตือนมากกว่า 2-3 ข้อ อย่าลังเลที่จะไป ปรึกษาจิตแพทย์ นะ เพราะว่าการปล่อยให้ความวิตกกังวลเรื้อรังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ เช่น ภาวะซึมเศร้าได้ในอนาคต ดังนั้น การ ปรึกษาจิตแพทย์ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อย
1. ควรไปพบนักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์?
หากคุณมีอาการทางกายร่วมด้วยชัดเจน หรืออาการส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก แนะนำให้เริ่มต้นที่ จิตแพทย์ ก่อน เพราะจิตแพทย์สามารถประเมินอาการทางกาย วินิจฉัยโรค และสั่งยาเพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมองได้ หากอาการไม่ซับซ้อนและเน้นการพูดคุยบำบัด นักจิตวิทยา ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี ซึ่งจิตแพทย์อาจทำงานร่วมกับนักจิตวิทยาเพื่อวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดให้คุณ
2. ไปปรึกษาจิตแพทย์ครั้งแรก ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
ไม่ต้องกังวล การไปครั้งแรกจะเป็นการพูดคุยสบายๆ เพื่อให้แพทย์ได้ทำความรู้จักและเข้าใจปัญหาของคุณ ลองลิสต์อาการหรือเรื่องราวที่อยากเล่าไปคร่าวๆ รวมถึงคำถามที่สงสัย เพื่อให้การพูดคุยเป็นไปอย่างราบรื่น สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดใจและเล่าทุกอย่างตามความจริง
3. การรักษาโรควิตกกังวลต้องกินยาเสมอไปหรือไม่?
ไม่เสมอไป การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ในบางกรณี การทำจิตบำบัด (Psychotherapy) หรือการบำบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม (CBT) เพียงอย่างเดียวก็อาจเพียงพอ แต่หากอาการเกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง การใช้ยาควบคู่ไปกับการทำจิตบำบัดจะเป็นวิธีที่ให้ผลการรักษาดีที่สุด
ติดตามบทความดี ๆ โดยนักสุขภาพจิตและนักจิตวิทยาคลินิก Mental Well Clinic ได้ที่นี่
Mental Well Clinic คลินิกสุขภาพใจ พื้นที่ปลอดภัยของคนทุกช่วงวัย ดูแลจิตใจคุณและคนที่คุณรัก โดย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจ แพทย์ นักจิตบำบัด นักศิลปะบำบัด นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยาพัฒนาการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่ และนัดเวลาเข้ามาปรึกษานักสุขภาพจิตได้ที่
Facebook : Mental Well Clinic
Tel : 091-599-3905
Line : @mentalwell.clinic
