วิตกกังวล เครียด แค่ไหนถึงเสี่ยงเป็นโรคแพนิค?

แพนิค

ความเครียดจากงาน หรือ ความวิตกกังวลเรื่องอนาคต เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน แต่เคยสงสัยไหมว่า จุดไหนที่ความรู้สึกเหล่านี้จะข้ามเส้นไปสู่ความเสี่ยงของ โรคแพนิค (Panic Disorder) ซึ่งเป็นภาวะตื่นตระหนกที่ดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้?

ในฐานะจิตแพทย์ บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า ความ เครียด และ ความ วิตกกังวล ที่สะสมนั้น เปรียบเสมือนเชื้อไฟชั้นดีที่สามารถจุดชนวนให้เกิดโรคแพนิคได้อย่างไร และใครบ้างที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องดูแลจิตใจเป็นพิเศษ

เครียด วิตกกังวล และ แพนิค ต่างกันอย่างไร?

ก่อนอื่น เราต้องแยกสามภาวะนี้ออกจากกันให้ชัดเจน:

ความเครียด (Stress) 

คือการตอบสนองของร่างกายและจิตใจต่อสถานการณ์กดดันที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เช่น การทำงานให้ทันกำหนด เมื่อสถานการณ์นั้นคลี่คลาย อาการ เครียด ก็มักจะหายไป

ความวิตกกังวล (Anxiety) 

เป็นความรู้สึกกังวลที่มักเกิดขึ้นต่อเนื่องและยาวนานกว่า แม้จะไม่มีสถานการณ์กดดันอยู่ตรงหน้า อาจเป็นการกังวลล่วงหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือกังวลในเรื่องทั่วไป

โรคแพนิค (Panic Disorder) 

นี่คือภาวะที่แตกต่างออกไป เป็นการเกิดอาการตื่นตระหนกสุดขีด (Panic Attack) อย่างฉับพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เปรียบเสมือนระบบเตือนภัยในสมองทำงานผิดพลาด ทำให้มีอาการทางกายที่รุนแรง เช่น ใจสั่น หายใจไม่ออก เวียนศีรษะ และรู้สึกเหมือนกำลังจะตายหรือควบคุมตัวเองไม่ได้

แพนิค อาการ

ใครบ้างที่ต้องระวังโรคแพนิคเป็นพิเศษ?

การมีแค่ความเครียดหรือความกังวล อาจไม่นำไปสู่โรคแพนิคเสมอไป แต่หากคุณมีปัจจัยเหล่านี้ร่วมด้วย ความเสี่ยงจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่น

ปัจจัยภายในที่ควบคุมไม่ได้ (Internal Factors) ซึ่งรวมถึง พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคแพนิคหรือโรควิตกกังวล คุณอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่ไวต่อสิ่งกระตุ้น โดยเฉพาะส่วนที่ควบคุมความกลัว (Amygdala) หรือความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง

ปัจจัยภายนอกและประสบการณ์ชีวิต (External Factors) การเผชิญเหตุการณ์รุนแรงในอดีต (Traumatic Events) เช่น การประสบอุบัติเหตุ การสูญเสียกะทันหัน หรือการถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ และปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ความเครียดสะสมเรื้อรัง การอยู่ในภาวะกดดันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายและระบบประสาทอยู่ในภาวะ “ตื่นตัว” ตลอดเวลา จนง่ายต่อการเกิดภาวะตื่นตระหนกเมื่อถูกกระตุ้นเพียงเล็กน้อย รวมถึงพื้นฐานนิสัย เช่น เป็นคนคิดมาก อ่อนไหวง่าย (Highly Sensitive Person) หรือยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

วิธีจัดการความเครียด-วิตกกังวล ลดเสี่ยงแพนิค

เราสามารถสร้างเกราะป้องกันจิตใจและลดความเสี่ยงได้ด้วยการจัดการความ เครียด และความ วิตกกังวล เชิงรุก ก่อนที่มันจะลุกลาม

ฝึกควบคุมลมหายใจ 

เมื่อรู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจ ให้ลองฝึกหายใจเข้า-ออกช้าๆ ลึกๆ (เช่น หายใจเข้าทางจมูกช้าๆ นับ 1-4, กลั้นหายใจ นับ 1-2, แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ นับ 1-6) วิธีนี้จะช่วยส่งสัญญาณให้สมองและร่างกายสงบลง เป็นวิธีป้องกันและรับมือที่ได้ผลดี

ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ 

ลดปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้ใจสั่นหรือกังวลมากขึ้น เช่น การดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และหันมาออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนความเครียดและสารเคมีในสมอง

ฝึกสติและยอมรับความรู้สึก (Mindfulness & Acceptance) 

เรียนรู้ที่จะอยู่กับความ วิตกกังวล ที่เกิดขึ้น โดยไม่ตัดสินหรือพยายามต่อสู้กับมัน แค่รับรู้และปล่อยให้มันผ่านไป ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของอาการลงได้

นอนหลับให้มีคุณภาพ 

การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอเป็นตัวกระตุ้นความ เครียด ชั้นดี และทำให้สมองอ่อนไหวต่อการเกิด แพนิค ได้ง่ายขึ้น

เครียด วิตกกังวล

แม้เราจะไม่สามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างพันธุกรรมได้ แต่เราสามารถจัดการความ เครียด และความ วิตกกังวล ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญที่สุดได้ ลองสำรวจปัจจัยเสี่ยงของตนเอง หากคุณพบว่ามีความเสี่ยงสูงและกำลังเผชิญกับความ เครียด รุนแรงต่อเนื่อง อย่าลังเลที่จะเรียนรู้วิธีจัดการอย่างจริงจัง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือจิตแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำเชิงป้องกัน ก่อนที่มันจะพัฒนาไปเป็นโรคแพนิคที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคุณ

 

ติดตามบทความดี ๆ โดยนักสุขภาพจิตและนักจิตวิทยาคลินิก Mental Well Clinic ได้ที่นี่ 

Mental Well Clinic คลินิกสุขภาพใจ พื้นที่ปลอดภัยของคนทุกช่วงวัย ดูแลจิตใจคุณและคนที่คุณรัก โดย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจ แพทย์ นักจิตบำบัด นักศิลปะบำบัด นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยาพัฒนาการ

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่ และนัดเวลาเข้ามาปรึกษานักสุขภาพจิตได้ที่
Facebook : Mental Well Clinic
Tel : 091-599-3905
Line : @mentalwell.clinic

บทความเพิ่มเติม