อารมณ์ “วิตกกังวล” เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนมี แต่จะกลายเป็น “โรค” (Anxiety Disorder) เมื่อมันเริ่มควบคุมไม่ได้และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาการทางใจที่ชัดเจนคือการคิดวนเวียน กลัวอนาคต กลัวการตัดสินจากผู้อื่น และที่สำคัญคือ มัก “กังวลว่าจะทำร้ายจิตใจคนอื่น” หรือ “กังวลว่าตัวเองไม่ดีพอ” ซึ่งมักตามมาด้วยอาการทางกาย เช่น ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกง่าย หรือนอนไม่หลับ
“วิตกกังวล” ในมุมมองสมอง
หากอธิบายในเชิงการทำงานของสมอง ภาวะนี้มักเกิดจากสมองส่วน อะมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งเป็นศูนย์กลางควบคุมความกลัว ทำงานไวหรือตื่นตัวมากกว่าปกติ ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีภัยคุกคามหรือเรื่องร้ายแรงรออยู่ตลอดเวลา
ไซโคพาธ คืออะไร?
ไซโคพาธ คืออะไร ลักษณะเด่นของไซโคพาธ (ตามหลักจิตวิทยา) “ไซโคพาธ (Psychopath)” หรือ ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) ไม่ใช่โรควิตกกังวล แต่คือ “การขาด” กลไกทางอารมณ์ที่คนทั่วไปมี เช่นการขาดความเห็นอกเห็นใจ (Lack of Empathy) อย่างสิ้นเชิง ทำให้ไม่สามารถเข้าใจหรือใส่ใจความรู้สึกผู้อื่นได้ พวกเขาจึงทำผิดแต่ “ขาดความสำนึกผิด” (Lack of Guilt) แม้อาจมี “เสน่ห์ผิวเผิน” (Superficial Charm) ที่ใช้เพื่อบงการคนอื่นก็ตาม จุดสำคัญคือ คนกลุ่มนี้มีระดับความกลัวและความ “วิตกกังวล” ต่ำมาก (Low Fear/Anxiety)
สมองของไซโคพาธ (เทียบเคียง Hyper Knife)
ในขณะที่คนกังวลมี Amygdala ที่ไวเกินไป งานวิจัยพบว่าไซโคพาธมักมีสมองส่วน Amygdala และ Prefrontal Cortex (ส่วนควบคุมการยับยั้งชั่งใจและอารมณ์) ที่ทำงานต่างออกไป หรือเชื่อมต่อกันน้อยกว่าปกติ ซึ่งอาจอธิบายได้ว่า ทำไม “จองเซอ๊ก” ใน Hyper Knife จึง “หมกมุ่น” ในการศึกษาและผ่าตัดสมองคนอื่นได้อย่างอัจฉริยะ แต่กลับ “ขาด” การเชื่อมต่อทางอารมณ์ที่สมองส่วนนี้ควรมีต่อคนไข้โดยสิ้นเชิง
“วิตกกังวล” กับ “ไซโคพาธ” ต่างกันตรงไหน?
ประเด็นที่ 1 การตอบสนองต่อความรู้สึกผู้อื่น
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องนี้ คนที่เป็นโรควิตกกังวล มัก “กังวล” มากเกินไปว่าจะพูดอะไรผิดพลาดไป กลัวคนอื่นจะเสียใจ หรือคิดมากกับการกระทำของตนเอง เรียกได้ว่ามีความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) สูงจนกลายเป็นความทุกข์ ในทางกลับกัน ไซโคพาธไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นอย่างแท้จริง หรือหากแสดงความเห็นใจ ก็มักเป็นการแกล้งทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง
ประเด็นที่ 2 ความรู้สึกผิด
คนวิตกกังวลมักรู้สึกผิดได้ง่าย แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ใช่ความผิดของตนเองด้วยซ้ำ แต่ไซโคพาธแทบไม่รู้สึกผิด หรือมักหาเหตุผลโทษคนอื่นหรือสถานการณ์ เพื่อให้ตัวเองดูดีเสมอ
ประเด็นที่ 3 “ความหมกมุ่น” ที่ต่างกัน
ทั้งสองภาวะอาจดู “หมกมุ่น” เหมือนกัน แต่เนื้อหาต่างกันสิ้นเชิง คนวิตกกังวลจะหมกมุ่นกับ “ความกังวล” ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีในอนาคต หรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่ไซโคพาธ (ในแบบจองเซอ๊ก) จะหมกมุ่นกับ “เป้าหมาย” ที่ตัวเองต้องการ เช่น การผ่าตัดที่ท้าทาย โดยไม่สนใจวิธีการหรือผลกระทบทางจิตใจต่อคนรอบข้าง
ภาพจากซีรีส์ Hyper Knife, Photo Credit Hulu
ถ้า “กังวล” ว่าตัวเองเป็นไซโคพาธ… ควร “ปรึกษาจิตแพทย์” หรือไม่?
คนที่เป็นไซโคพาธมักไม่ “วิตกกังวล” ว่าตัวเองเป็น หากคุณกำลัง “วิตกกังวล” อย่างจริงจังว่า “ฉันเป็นไซโคพาธหรือเปล่า?” นั่นมักเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากว่าคุณ ไม่ใช่ ไซโคพาธ เพราะไซโคพาธโดยธรรมชาติแล้ว ไม่ได้กังวลว่าการกระทำของตนจะผิดปกติหรือส่งผลเสียต่อใคร ความกังวลที่คุณมี อาจเป็นอาการหนึ่งของโรควิตกกังวล, โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) หรือภาวะ Imposter Syndrome ที่กลัวว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีหรือจอมปลอม
สัญญาณที่บอกว่าควร “ปรึกษาจิตแพทย์”
คุณควร “ปรึกษาจิตแพทย์” ทันที หากความ “วิตกกังวล” นี้เริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการนอน การกิน หรือการทำงาน หรือเมื่อคุณรู้สึก “ชา” (Numb) หรือตัดขาดจากอารมณ์ตัวเองบ่อยๆ ซึ่งภาวะนี้มักเกิดจากความเครียดหรือซึมเศร้า (ไม่ใช่ไซโคพาธ) และที่สำคัญที่สุด หากคุณต้องการคำตอบที่ชัดเจน เพื่อหยุดการวินิจฉัยตัวเองที่กำลังบั่นทอนจิตใจ การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญคือทางออกที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อย
1. คนที่ “วิตกกังวล” มากๆ มีโอกาสกลายเป็นไซโคพาธไหม?
สองภาวะนี้มีกลไกทางสมองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน “โรควิตกกังวล” คือภาวะที่สมองส่วนความกลัวทำงาน “มากเกินไป” ส่วน “ไซโคพาธ” คือภาวะที่ “ขาด” ความรู้สึกผิดและความเห็นใจ คนที่กังวลมากจึงมักจะยิ่งห่างไกลจากภาวะไซโคพาธ
2. ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลย (รู้สึกชา) แปลว่าเป็นไซโคพาธหรือเปล่า?
ภาวะรู้สึกชา (Emotional Numbness) ไม่ได้แปลว่าเป็นไซโคพาธเสมอไป ส่วนใหญ่มักเป็นกลไกป้องกันตัวเองจากความเครียดจัด, ภาวะหมดไฟ (Burnout) หรืออาการหนึ่งของโรคซึมเศร้า ซึ่งต่างจากการ “ขาด” ความรู้สึกแบบไซโคพาธ หากคุณรู้สึกชานานๆ ควร “ปรึกษาจิตแพทย์” เพื่อประเมินครับ
3. การ “ปรึกษาจิตแพทย์” น่ากลัวไหม?
การ “ปรึกษาจิตแพทย์” คือการไปพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจตัวเอง ไม่ใช่การไป “ตัดสิน” ว่าคุณเป็นอะไร การที่คุณสงสัยและกล้าไปพบผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าคุณใส่ใจสุขภาพจิตของตัวเองและ ไม่ใช่ ไซโคพาธ
ภาพจากซีรีส์ Hyper Knife, Photo Credit Hulu
สรุป
โรควิตกกังวล มีพื้นฐานมาจาก “ความกลัว” และ “ความเห็นอกเห็นใจ” ที่อาจจะมากเกินไป ส่วน “ไซโคพาธ” คือ “การขาด” สิ่งเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง การดูซีรีส์ Hyper Knife อาจทำให้เราได้สำรวจจิตใจที่ซับซ้อนของมนุษย์ แต่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นแตกต่างจากในจอ อย่าปล่อยให้ความ “วิตกกังวล” จากการดูซีรีส์ มานิยามตัวตนของคุณ หากความสงสัยนี้กำลังทำให้คุณเป็นทุกข์ การ “ปรึกษาจิตแพทย์” หรือนักจิตวิทยา คือขั้นตอนแรกที่ปลอดภัยและถูกต้องที่สุดในการทำความเข้าใจตัวเอง
ติดตามบทความดี ๆ โดยนักสุขภาพจิตและนักจิตวิทยาคลินิก Mental Well Clinic ได้ที่นี่
Mental Well Clinic คลินิกสุขภาพใจ พื้นที่ปลอดภัยของคนทุกช่วงวัย ดูแลจิตใจคุณและคนที่คุณรัก โดย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจ แพทย์ นักจิตบำบัด นักศิลปะบำบัด นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยาพัฒนาการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่ และนัดเวลาเข้ามาปรึกษานักสุขภาพจิตได้ที่
Facebook : Mental Well Clinic
Tel : 091-599-3905
Line : @mentalwell.clinic


