อารมณ์เด็ก ในแต่ละวัยก็มีส่วนของอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนไม่แพ้ผู้ใหญ่ การเข้าใจอารมณ์ของลูกตั้งแต่วัยเยาว์ไม่เพียงช่วยให้พ่อแม่สามารถดูแลเขาได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์และเสริมสร้างสุขภาพจิตที่แข็งแรงในระยะยาว
บทความนี้จะพาไปรู้จักพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กในแต่ละช่วงวัย และแนวทางที่ผู้ปกครองสามารถนำไปใช้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางใจของลูกได้อย่างมั่นคง
อารมณ์เด็ก คืออะไร ?
คือ สภาวะความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเด็ก ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ หรือประสบการณ์ต่างๆ ที่เด็กพบเจอ โดยอารมณ์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการด้านจิตใจ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมของเด็ก
ตัวอย่างของ : อารมณ์เด็ก ที่พบได้บ่อย
-
ความสุข เช่น เมื่อเล่นกับเพื่อนหรือได้รับคำชม
-
ความโกรธ เช่น เมื่อต้องแบ่งของเล่น หรือไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ
-
ความเศร้า เช่น เมื่อพลัดพรากจากคนสำคัญ
-
ความกลัว เช่น กลัวเสียงดัง หรือกลัวการถูกทิ้ง
-
ความอาย เช่น เมื่อต้องแสดงต่อหน้าคนแปลกหน้า
-
ความหงุดหงิด เช่น เมื่อเหนื่อย ง่วง หิว หรือสื่อสารไม่ได้ดั่งใจ
อารมณ์เด็กในวัยทารก (0-1 ปี)
ลักษณะอารมณ์ในวัยทารก
ทารกแรกเกิดยังไม่มีความสามารถในการควบคุมหรือเข้าใจอารมณ์ของตนเองเหมือนเด็กโตหรือผู้ใหญ่ พวกเขายังไม่สามารถใช้ภาษาในการอธิบายหรือแสดงความรู้สึกได้โดยตรง
แต่ อารมณ์ก็มีอยู่แล้วตั้งแต่แรกเกิด และแสดงออกผ่าน ภาษากาย และ พฤติกรรมพื้นฐาน เช่น
-
ร้องไห้ เป็นวิธีสื่อสารหลักของทารก ใช้แสดงถึงความต้องการหรือความไม่สบาย เช่น หิว เปียก ง่วง หรืออยากได้รับการอุ้ม
-
ยิ้ม เริ่มเห็นในช่วงอายุประมาณ 6-8 สัปดาห์ เป็นการตอบสนองต่อการสบตาหรือเสียงพูดของผู้ดูแล
-
การสบตา การยืดตัว หรือขยับร่างกาย เป็นสัญญาณที่แสดงถึงความสนใจ หรือความรู้สึกไม่พอใจได้เช่นกัน
วิธีดูแล และสนับสนุนอารมณ์ในวัยทารก
การดูแลด้านอารมณ์ในช่วงวัยนี้มีผลอย่างยิ่งต่อการวางรากฐาน “ความไว้วางใจ” และ “ความรู้สึกมั่นคง” ซึ่งจะส่งผลต่อความสัมพันธ์และบุคลิกภาพในระยะยาว
- การตอบสนองต่อเสียงร้องอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน ช่วยให้ทารกรู้สึกปลอดภัย
- การสัมผัส เช่น การอุ้ม กอด หรือลูบหลัง มีผลต่อการหลั่งสารออกซิโทซิน ช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่นใจ
- การสบตาและพูดคุยกับลูกบ่อยๆ ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ทางอารมณ์
อารมณ์เด็กในวัยเตาะแตะ (1-3 ปี)
ลักษณะอารมณ์ในวัยเตาะแตะ
ในช่วงวัยเตาะแตะ เด็กเริ่มเข้าสู่ช่วงพัฒนาการสำคัญที่เรียกว่า “Autonomy vs. Shame and Doubt” ตามทฤษฎีของ Erik Erikson ซึ่งหมายความว่าเด็กกำลังพยายามค้นหาความสามารถของตัวเอง ต้องการเป็นอิสระ และ แสดงตัวตน
- เด็กจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระ เด็กวัยนี้จะเริ่มพูดคำว่า “ไม่!” บ่อย ๆ เพราะต้องการแสดงว่า “ฉันมีความคิดของตัวเอง” หรือเริ่มพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เช่น ใส่รองเท้าเอง ป้อนข้าวเอง หรือปีนขึ้น-ลง โดยไม่อยากให้พ่อแม่ช่วย
-
มีพฤติกรรมต่อต้าน หรือารมณ์แปรปรวนง่าย เด็กวัยนี้จะควบคุมอารมณ์ตนเองได้ยังไม่ดี เมื่อรู้สึกผิดหวัง เหนื่อย หรือไม่ได้ดั่งใจ จึงอาจแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างรุนแรง เช่น งอแง นอนดิ้น โยนของ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุมอารมณ์ (prefrontal cortex) ยังพัฒนาไม่เต็มที่
- เริ่มแสดงอารมณ์ซับซ้อน เช่น หึงหวง โกรธ หรือเศร้าอย่างชัดเจน มาจากการหึงเวลาพ่อแม่อุ้มน้อง หรือเศร้าเมื่อของเล่นพัง
วิธีดูแล และสนับสนุนอารมณ์ในวัยเตาะแตะ
- ตั้งกฎระเบียบชัดเจนแต่ยืดหยุ่น พร้อมให้โอกาสเลือกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของ
- ใช้คำพูดช่วยสะท้อนอารมณ์ เช่น “ลูกโกรธใช่ไหม เพราะไม่ได้เล่นของเล่น” เพื่อช่วยให้เขาเข้าใจและเรียนรู้ชื่ออารมณ์
- หลีกเลี่ยงการลงโทษทางร่างกาย ใช้การเบี่ยงเบนความสนใจหรือกอดปลอบเมื่อเกิดอารมณ์รุนแรง
อารมณ์เด็กในวัยอนุบาล (3-6 ปี)
ลักษณะอารมณ์เด็กในวัยอนุบาล
วัยอนุบาลถือเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนา “ทักษะทางอารมณ์และสังคม” เด็กเริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น แต่ยังต้องการการชี้แนะจากผู้ใหญ่ในการจัดการและแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม
- เริ่มเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจมากขึ้น เด็กวัยนี้เริ่มสามารถ “อ่านอารมณ์” ของคนรอบตัวได้ เช่น รู้ว่าเพื่อนกำลังเสียใจ หรือพ่อแม่กำลังโกรธ พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนว่าเขาเริ่มพัฒนาทักษะ “ความเข้าใจในผู้อื่น (perspective-taking)” ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีในอนาคต
- การฝึกฝนควบคุมอารมณ์ เช่น ความหงุดหงิด น้อยใจ เด็กวัยนี้เริ่มมีคำศัพท์ในการบอกอารมณ์ เช่น “หนูโกรธ” หรือ “หนูเสียใจ” แต่ยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ได้ดีนักอาจมีพฤติกรรม เช่น ร้องไห้ง่ายเมื่อผิดหวัง โกรธและปฏิเสธ เช่น ไม่เล่นกับเพื่อน หรือน้อยใจเมื่อถูกตำหนิ
- มีพฤติกรรมเลียนแบบผู้ใหญ่ หรือเพื่อนในการแสดงอารมณ์ เด็กวัยนี้อยู่ในช่วง “วัยเล่นสมมติ” และเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ (modeling) อย่างมาก พวกเขาอาจเลียนแบบพฤติกรรมทางอารมณ์ เช่น การงอน เมื่อเห็นพี่หรือเพื่องงอนแล้วได้ความสนใจ หรือการแสดงความรัก เช่น กอด ตบไหล่ พูดว่า “รักแม่นะ” เพราะเห็นคนรอบข้างทำ
วิธีดูแล และสนับสนุนอารมณ์ในวัยอนุบาล
- สอนเด็กให้รู้จักจัดการกับอารมณ์ เช่น การหายใจลึกๆ เมื่อโกรธ หรือการหามุมสงบเมื่อรู้สึกเศร้า
- เล่นบทบาทสมมติ เช่น เล่นเป็นครอบครัว โรงพยาบาล หรือโรงเรียน เพื่อให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์และเรียนรู้การเข้าสังคม
- สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเรื่องความรู้สึก เช่น เวลาก่อนนอน
อารมณ์เด็กในวัยประถม (6-12 ปี)
วัยประถมเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่ม “เข้าสู่โลกภายนอกอย่างจริงจัง” เด็กต้องปรับตัวกับระบบโรงเรียน การเข้าสังคม และกฎเกณฑ์มากมาย ทำให้เกิดพัฒนาการทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
- เด็กสามารถเข้าใจอารมณ์ของตนเอง และผู้อื่นได้ลึกซึ้งขึ้น เริ่มมีความสามารถในการ ระบุชื่ออารมณ์ได้ชัดเจน เช่น รู้ว่า “ตอนนี้ฉันเศร้าเพราะถูกเพื่อนล้อ” เขาเริ่มเข้าใจว่า คนอื่นอาจรู้สึกต่างจากตนเอง และสามารถแสดงความเข้าใจ เช่น ปลอบเพื่อน หรือขอโทษเมื่อทำให้คนอื่นเสียใจ
- เริ่มมีความซับซ้อนทางความรู้สึก เช่น รู้สึกผิด อับอาย หรือไม่มั่นใจ เด็กวัยนี้พัฒนา “อารมณ์ขั้นสูง” (complex emotions) เช่น ความรู้สึกผิด เมื่อทำผิดหรือทำให้คนอื่นเสียใจ ความอับอาย เมื่อตัวเองทำพลาดต่อหน้าคนอื่น หรือความไม่มั่นใจ เมื่อเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นแล้วรู้สึกด้อยกว่า
-
เริ่มประสบปัญหาทางสังคม เช่น การถูกรังแก การแข่งขัน หรือความรู้สึกด้อยกว่าเพื่อน เด็กวัยนี้เริ่มให้ความสำคัญกับ “กลุ่มเพื่อน” มากขึ้น โดยจะคิดว่าความสามารถในการเข้าสังคมมีผลต่อ “ภาพลักษณ์ตนเอง” เด็กอาจมีความรู้สึกดีถ้าเป็นที่ยอมรับในกลุ่ม หรือรู้สึกแย่หากถูกเพื่อนแกล้ง ล้อ หรือไม่ชวนเล่น
วิธีดูแล และสนับสนุนอารมณ์ในวัยประถม
- สอนทักษะการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน เช่น เมื่อทะเลาะกับเพื่อนควรทำอย่างไร
- เปิดใจรับฟังโดยไม่รีบด่วนตัดสิน ช่วยให้เด็กกล้าระบายความรู้สึก
- ส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและความสำเร็จ เช่น งานอดิเรก กีฬา ศิลปะ
อารมณ์ในเด็กวัยรุ่นตอนต้น (12-15 ปี)
วัยรุ่นตอนต้นเป็น วัยแห่งความเปลี่ยนแปลงและความสับสน ทั้งทางกาย จิตใจ และสังคม เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ที่เด็กกำลังเดินออกจากวัยเด็ก และก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่
- วัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งร่างกาย ฮอร์โมน และบทบาททางสังคม เด็กในวัยนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทาง ฮอร์โมน อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีผลกระทบต่ออารมณ์โดยตรง เช่น อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย โกรธเร็ว หรือรู้สึกเศร้าโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน หรือร่างกายที่เปลี่ยนแปลง เช่น หน้าอกเริ่มขึ้น เสียงเริ่มเปลี่ยน กลิ่นตัว ฯลฯ อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจในรูปร่าง ขณะเดียวกัน เด็กเริ่มมีบทบาทใหม่ในสังคม เช่น ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ถูกคาดหวังให้มีวินัย มีความคิดเป็นของตัวเอง
- อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์ และเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น วัยรุ่นตอนต้นให้ความสำคัญกับสายตาของผู้อื่น โดยเฉพาะเพื่อนและสังคมรอบข้าง อาจรู้สึกเจ็บปวดจากคำพูดเล็กน้อย เช่น “อ้วนจัง” หรือ “ยังไม่มีแฟนเหรอ” มากกว่าที่ผู้ใหญ่อาจเข้าใจ หรือเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนทั้งในชีวิตจริงและในโลกออนไลน์
- เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าในตัวเอง และค้นหาตัวตน เด็กเริ่มคิดเรื่อง “ฉันคือใคร?” “ฉันมีคุณค่าไหม?” “ฉันอยากเป็นอะไร?”กระบวนการนี้เรียกว่า การค้นหาตัวตน (Identity formation) ซึ่งเป็นหัวใจของพัฒนาการในวัยรุ่นตามทฤษฎีของ Erik Erikson เด็กอาจเริ่มทดลองสิ่งใหม่ เช่น เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวสนใจกลุ่มเพื่อนเฉพาะทาง
วิธีดูแล และสนับสนุนอารมณ์ในวัยรุ่นตอนต้น
- ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและให้พื้นที่ส่วนตัวในขอบเขตที่เหมาะสม
- ชวนพูดคุยเรื่องความเครียด ความกังวล โดยไม่ตำหนิ
- หากสังเกตเห็นความผิดปกติ เช่น ซึมเศร้า แยกตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
เทคนิคส่งเสริมสุขภาพจิตลูกผ่านอารมณ์
การส่งเสริมสุขภาพจิตของลูกไม่ใช่แค่การป้องกันไม่ให้เขาเครียด แต่คือการ “สร้างภูมิคุ้มกันทางใจ” ให้เขาเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ได้อย่างมั่นคง โดยมีผู้ปกครองเป็นคนสำคัญในการสร้างพื้นฐานนี้ตั้งแต่เล็ก
- สื่อสารอย่างเข้าใจ ใช้คำถามปลายเปิดแทนคำถามที่ต้องตอบแค่ “ใช่” หรือ “ไม่” เช่น “วันนี้รู้สึกยังไงที่โรงเรียน?” ฝึกการฟังแบบไม่แทรก พยักหน้าและสะท้อนอารมณ์ให้ลูกเห็นว่าเราเข้าใจ
- ทำกิจกรรมร่วมกัน ทำงานศิลปะ อ่านนิทาน หรือเล่นบทบาทสมมติ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ลูกแสดงความรู้สึกออกมาโดยไม่ต้องพูดตรงๆ
- เป็นแบบอย่างทางอารมณ์ ผู้ใหญ่ควรแสดงให้เห็นการจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม เช่น การขอโทษ การยอมรับเมื่อผิดพลาด
ทำไมต้องเลือก Mental Well Clinic
ที่ Mental Well Clinic เรามีบริการโดยนักจิตวิทยาคลินิก ที่ช่วยให้พ่อแม่ หรือผู้ปกครองได้รับแนวทาง หรือวิธีการดูแลลูกในวัยเรียน หรือวัยรุ่น เพื่อแก้ไขปัญหาทางจิตใจ ของทั้งเด็ก และครอบครัว หากพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง กำลังเผชิญกับความเครียดที่เกิดจากการเลี้ยงดูลูกในวัยเด็ก และในวัยรุ่น Mental Well Clinic ยินดีที่จะช่วยให้คุณจัดการกับปัญหาด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้ครอบครัวของคุณมีชีวิตที่มีความสุขและสมดุลอีกครั้ง
ติดต่อเรา วันนี้เพื่อเริ่มต้นการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตและค้นพบวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการกับปัญหาความสัมพันธ์ให้กับครอบครัวของคุณ








