นักจิตวิทยา กับจิตแพทย์ ความแตกต่างที่คุณควรรู้

นักจิตวิทยา

นักจิตวิทยา และจิตแพทย์ กับความแตกต่างที่คนในยุคปัจจุบันกลับกลายเป็นให้ความสำคัญ ทั้งในเรื่องของการดูแลสุขภาพจิตอีกด้วย แต่ในหลายๆ คนก็ยังสับสนระหว่างจิตแพทย์ กับนักจิตวิทยาว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกใครเมื่อประสบกับปัญหาทางด้านจิตใจ บทความนี้จะอธิบายทั้ง การศึกษา บทบาท การรักษา เทคนิคการบำบัด และกรณีตัวอย่าง เพื่อให้คุณเข้าใจและเลือกผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับตัวเองได้

นักจิตวิทยา คือใคร? วิธีการทำงานและความเชี่ยวชาญ

นักจิตวิทยา (Psychologist) คือผู้เชี่ยวชาญด้าน จิตวิทยา ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม ความคิด อารมณ์ และกระบวนการทางจิตใจของมนุษย์ นักจิตวิทยามักจบการศึกษาทางด้านจิตวิทยาในระดับปริญญาตรี โท หรือเอก โดยบางสาขา เช่น นักจิตวิทยาคลินิก หรือ นักจิตวิทยาการปรึกษา อาจต้องมีใบอนุญาตเฉพาะเพื่อทำการบำบัดหรือให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย

การทำงานของนักจิตวิทยา

นักจิตวิทยามุ่งเน้นการ ประเมินและเข้าใจพฤติกรรม อารมณ์ และความคิดของผู้ป่วย ผ่านหลายวิธี เช่น

  • การใช้ แบบทดสอบและเครื่องมือทางจิตวิทยา เพื่อวัดบุคลิกภาพ ความเครียด หรือภาวะทางอารมณ์

  • การ สัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและประสบการณ์ชีวิต

  • การ สังเกตพฤติกรรม ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อประเมินปฏิกิริยาทางอารมณ์และการตอบสนอง

เทคนิคและแนวทางบำบัดที่นักจิตวิทยาใช้

นักจิตวิทยาใช้เครื่องมือและเทคนิคหลากหลายเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยจัดการความคิดและอารมณ์ได้ เช่น

  • Cognitive Behavioral Therapy (CBT): ช่วยผู้ป่วยระบุและปรับความคิดที่ไม่เป็นประโยชน์

  • Mindfulness: ฝึกสติและการอยู่กับปัจจุบันเพื่อลดความเครียด

  • Art Therapy / Play Therapy: ใช้ศิลปะหรือการเล่นเป็นสื่อสื่อสารความรู้สึก

  • การบำบัดเชิงจิตวิเคราะห์: สำรวจความคิดและอารมณ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องลึก

จิตแพทย์ คือใคร? บทบาทและการศึกษา

จิตแพทย์ (Psychiatrist) เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่มีพื้นฐานจากการเรียนแพทยศาสตร์ (MD หรือแพทยศาสตรบัณฑิต) ก่อนจะเข้าสู่การฝึกอบรมเฉพาะทางด้าน จิตเวชศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาที่เน้นการวินิจฉัย รักษา และป้องกันโรคทางจิตใจและอารมณ์

การศึกษาของจิตแพทย์ประกอบด้วยหลายขั้นตอน เริ่มจากการเรียนแพทยศาสตร์ทั่วไป 6 ปี จากนั้นต้องผ่านการฝึกงาน (internship) และสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม จึงสามารถเข้าสู่การฝึกเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์อีกประมาณ 3–4 ปี ในช่วงฝึกอบรมนี้ จิตแพทย์จะได้เรียนรู้วิธีประเมินอาการทางจิตใจ การใช้เครื่องมือทางการแพทย์ และการสั่งจ่ายยารักษาโรคจิตและอารมณ์อย่างเหมาะสม

นักจิตวิทยา

บทบาทหลักของจิตแพทย์

  • วินิจฉัยโรคทางจิตใจ: เช่น ซึมเศร้ารุนแรง, โรควิตกกังวลขั้นสูง, โรคจิตเภท, อารมณ์สองขั้ว และอาการซับซ้อนอื่น ๆ

  • สั่งยาและการรักษาทางการแพทย์: จิตแพทย์เป็นผู้เดียวในทีมสุขภาพจิตที่สามารถสั่งยา เช่น ยาต้านซึมเศร้า, ยาแก้วิตกกังวล หรือยาจิตเวชอื่น ๆ เพื่อช่วยปรับสมดุลเคมีในสมอง

  • ให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยา: แม้ว่าจิตแพทย์จะไม่ได้เน้นการทำจิตบำบัดเหมือนนักจิตวิทยา แต่หลายคนก็สามารถให้คำปรึกษาและแนวทางการจัดการความเครียด อารมณ์ หรือความสัมพันธ์

  • ร่วมมือกับนักจิตวิทยาและทีมสุขภาพจิต: เพื่อออกแบบ แผนการรักษาแบบผสมผสาน ทั้งการบำบัดด้วยยาและจิตบำบัด การทำงานเป็นทีมช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลครบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

การปรึกษาจิตแพทย์จึงเหมาะกับผู้ที่มีอาการทางจิตใจ รุนแรงหรือซับซ้อน ต้องการการประเมินและวินิจฉัยอย่างเป็นระบบ รวมถึงต้องการแนวทางรักษาที่สอดคล้องกับสุขภาพร่างกายและจิตใจ

การวินิจฉัยโรคทางจิตใจ นักจิตวิทยา vs จิตแพทย์

การวินิจฉัยโรคทางจิตใจเป็นขั้นตอนสำคัญของการรักษา เพราะช่วยให้เข้าใจสาเหตุและแนวทางที่เหมาะสมในการดูแลผู้ป่วย ทั้ง จิตแพทย์ และนักจิตวิทยา มีบทบาทในการประเมินอาการ แต่มีวิธีการและขอบเขตที่แตกต่างกัน

จิตแพทย์

นักจิตวิทยา (Psychologist)

  • ใช้เครื่องมือทางจิตวิทยา เช่น แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตพฤติกรรม

  • มุ่งเน้นการประเมิน ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม ของผู้ป่วย

  • วินิจฉัยเพื่อ เข้าใจปัญหาทางจิตใจในเชิงลึก และจัดทำแผนบำบัดหรือคำปรึกษาที่เหมาะสม

  • ไม่สามารถสั่งยาได้ แต่สามารถให้การบำบัดเชิงจิตวิทยา เช่น CBT, Mindfulness, Art Therapy หรือ Play Therapy

  • เหมาะกับผู้ที่มี ความเครียด วิตกกังวล ปัญหาความสัมพันธ์ หรืออาการอารมณ์ไม่รุนแรง

จิตแพทย์ (Psychiatrist)

  • ประเมินทั้ง ด้านร่างกายและจิตใจ ของผู้ป่วย

  • ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การตรวจร่างกาย การเจาะเลือด หรือการตรวจทางประสาทวิทยา

  • สามารถวินิจฉัย โรคซับซ้อนหรือรุนแรง เช่น ซึมเศร้ารุนแรง, โรคจิตเภท, อารมณ์สองขั้ว

  • มีสิทธิ์ สั่งยาและปรับยาตามอาการ เพื่อรักษาสมดุลทางเคมีในสมอง

  • มักเน้นการวินิจฉัยแบบเป็นระบบและครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ

โรคหรืออาการที่เหมาะกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา

การเลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ขึ้นอยู่กับ ความรุนแรงและลักษณะของอาการ ซึ่งจะแบ่งออกได้ดังนี้

1. อาการและโรคที่เหมาะกับจิตแพทย์

จิตแพทย์เหมาะกับผู้ที่มี อาการทางจิตใจรุนแรงหรือซับซ้อน ต้องการการประเมินทางการแพทย์และการรักษาด้วยยา เช่น

  • ซึมเศร้ารุนแรง (Major Depression): มีอาการอ้างว้าง หมดแรง ไม่อยากทำกิจกรรมประจำวัน นอนไม่หลับหรือกินอาหารน้อยลง อาจมีความคิดอยากตาย

  • วิตกกังวลขั้นสูง (Severe Anxiety Disorders): มีความวิตกกังวลเกินควบคุม ส่งผลต่อการทำงานหรือชีวิตประจำวัน

  • อารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder): มีช่วงอารมณ์สูง (mania) สลับกับช่วงซึมเศร้า รบกวนการทำงานและความสัมพันธ์

  • โรคจิตเภท (Schizophrenia) หรืออาการหลงผิด/ประสาทหลอน: ต้องการการรักษาแบบผสมผสาน ทั้งยาและจิตบำบัด

  • อาการทางจิตใจซับซ้อนอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อร่างกาย เช่น ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจรุนแรง (PTSD)

จิตแพทย์สามารถ วินิจฉัยโรคและสั่งยา เพื่อปรับสมดุลเคมีในสมอง ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและปลอดภัย

2. อาการและปัญหาที่เหมาะกับนักจิตวิทยา

นักจิตวิทยาเหมาะกับผู้ที่มี ปัญหาทางอารมณ์หรือพฤติกรรมที่ไม่รุนแรง แต่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ เช่น

ซึมเศร้า

  • ความเครียดทั่วไป (Stress) และความวิตกกังวลระดับปานกลาง

  • ปัญหาความสัมพันธ์: ทั้งเรื่องคู่รัก ครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน

  • ปัญหาชีวิตประจำวัน: การปรับตัวกับงานใหม่ การเรียน การเปลี่ยนแปลงในชีวิต

  • ความรู้สึกท้อแท้หรือหมดแรง แต่ไม่ถึงขั้นซึมเศร้ารุนแรง

นักจิตวิทยาจะช่วยให้ผู้ป่วย เข้าใจความคิดและอารมณ์ของตนเอง ฝึกเทคนิคจัดการความเครียด หรือเรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสม ทำให้สามารถเผชิญกับความท้าทายในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจพบ นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์

การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เป็นก้าวสำคัญในการดูแลสุขภาพใจ การเตรียมตัวและเข้าใจขั้นตอนล่วงหน้าจะช่วยให้การพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. วิธีเตรียมตัวก่อนนัดหมาย

  • จดบันทึกอาการและความรู้สึก: เขียนสิ่งที่คุณรู้สึก อาการที่เกิดขึ้น และระยะเวลาที่เกิด เพื่อช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าใจภาพรวมของคุณ

  • เตรียมข้อมูลด้านสุขภาพ: หากคุณมีโรคประจำตัว กำลังใช้ยา หรือเคยเข้ารับการรักษาทางจิตเวช ควรเตรียมประวัติให้ครบ

  • ตั้งเป้าหมายของการปรึกษา: คิดล่วงหน้าว่าคุณต้องการปรึกษาเรื่องอะไร เช่น การจัดการความเครียด การบำบัดอารมณ์ หรือการประเมินอาการรุนแรง

  • เตรียมใจเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา: การปรึกษาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อคุณกล้าเล่าอาการและความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา

2. การเลือกผู้เชี่ยวชาญให้เหมาะสมกับปัญหา

  • อาการรุนแรงหรือซับซ้อน: เหมาะกับ จิตแพทย์ เพราะสามารถวินิจฉัยและสั่งยาได้

  • อาการไม่รุนแรงหรือความเครียดทั่วไป: เหมาะกับ นักจิตวิทยา เพื่อให้คำปรึกษาและบำบัดเชิงจิตวิทยา

  • ความสบายใจและความเชื่อมั่น: เลือกผู้เชี่ยวชาญที่คุณรู้สึก สบายใจและไว้ใจ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้เชี่ยวชาญเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการบำบัด

  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง: บางปัญหาอาจต้องเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในสาขานั้น ๆ เช่น เด็ก วัยรุ่น คู่รัก หรือผู้ที่มีอาการ PTSD

คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มสนใจดูแลสุขภาพจิต

การดูแลสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญและไม่ควรรอจนอาการรุนแรง การเริ่มสังเกตและดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้สามารถจัดการความเครียดและอารมณ์ได้ดีขึ้น

1. วิธีสังเกตอาการเบื้องต้น

สังเกตสัญญาณทางจิตใจและร่างกายที่อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังเผชิญความเครียดหรือปัญหาทางอารมณ์ เช่น

  • อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย: รู้สึกเศร้า วิตกกังวล หรือหงุดหงิดบ่อยโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน

  • ความคิดติดลบหรือหมกมุ่น: คิดเรื่องไม่ดีซ้ำ ๆ หรือรู้สึกหมดหวัง

  • ปัญหาการนอนหรืออาหาร: นอนไม่หลับหรือกินมาก/น้อยเกินไป

  • ขาดพลังในการทำกิจกรรมประจำวัน: รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่สนใจสิ่งที่เคยชอบ

  • ปัญหาความสัมพันธ์: ง่ายต่อการโกรธ ขัดแย้งกับคนรอบข้าง หรือรู้สึกโดดเดี่ยว

หากสัญญาณเหล่านี้เกิดต่อเนื่องหลายสัปดาห์หรือส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ถือเป็นสัญญาณว่าควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

2. การดูแลตัวเองระหว่างรอพบผู้เชี่ยวชาญ

แม้จะยังไม่ได้พบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้เพื่อบรรเทาอาการและรักษาสุขภาพใจได้:

  • จัดตารางกิจวัตรที่สมดุล: นอนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเล็กน้อย

  • ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย: เช่น การหายใจลึก (Deep Breathing), Mindfulness หรือการทำสมาธิสั้น ๆ

  • จดบันทึกความคิดและอารมณ์: ช่วยให้เห็นรูปแบบความคิดและสังเกตอารมณ์ของตัวเอง

  • พูดคุยกับคนใกล้ชิด: แบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อนหรือครอบครัวที่ไว้ใจได้

  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นความเครียด: เช่น ข่าวรุนแรง สถานการณ์ตึงเครียด หรือการใช้งานโซเชียลมีเดียมากเกินไป

  • ทำกิจกรรมที่สร้างความสุข: ฟังเพลง วาดภาพ อ่านหนังสือ หรือกิจกรรมผ่อนคลายอื่น ๆ

การสังเกตอาการและดูแลตัวเองเบื้องต้นเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนพบผู้เชี่ยวชาญ เพราะช่วยให้คุณ เข้าใจตัวเองและเตรียมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการปรึกษา

ทำไมต้องเลือก Mental Well Clinic

ที่ Mental Well Clinic เรามีบริการ Private Counseling ให้คำปรึกษาส่วนตัว ที่ช่วยให้คุณได้พูดคุยอย่างปลอดภัย และมีความเป็นส่วนตัว เพื่อแก้ไขปัญหาทางจิตใจ หากคุณกำลังเผชิญกับความเครียดที่เกิดจากวามวิตกกังวลต่างๆ Mental Well Clinic ยินดีที่จะช่วยให้คุณจัดการกับปัญหาด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขและสมดุลอีกครั้ง

ติดต่อเรา วันนี้เพื่อเริ่มต้นการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตและค้นพบวิธีการใหม่ๆ ที่เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคุณ

contact us

บทความเพิ่มเติม