อาการวิตกกังวล กับโรควิตกกังวล แตกต่างกันอย่างไร

อาการวิตกกังวล กับโรควิตกกังวล ในชีวิตประจำวันของเราหลายคนอาจรู้สึก วิตกกังวล เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความตึงเครียด เช่น การสอบ งานที่มีความรับผิดชอบ หรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แต่คำถามที่มักเกิดขึ้นคือ อาการวิตกกังวลแบบทั่วไปแตกต่างจาก โรควิตกกังวล หรือไม่? และเราควรจัดการกับมันอย่างไร? บทความนี้จะช่วยทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างอาการวิตกกังวล และโรควิตกกังวล พร้อมทั้งแนะนำวิธีการรักษาที่สามารถช่วยให้คุณจัดการกับความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาการวิตกกังวล ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

การมีอาการวิตกกังวล คือความรู้สึกกังวลหรือเครียดที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความตึงเครียด เช่น การเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน การพูดในที่สาธารณะ หรือการตัดสินใจสำคัญในชีวิต ความวิตกกังวลในลักษณะนี้ถือเป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นเมื่อสมองตอบสนองต่อความกดดันหรือความไม่แน่นอน แม้ว่าความรู้สึกวิตกกังวลจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่หากมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือรุนแรงเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้

อาการวิตกกังวล

อาการวิตกกังวล มีลักษณะอย่างไร ?

  1. รู้สึกเครียดหรือกังวลเกี่ยวกับอนาคต
    • เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ที่มีอาการวิตกกังวลคิดถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอน เช่น กังวลเกี่ยวกับงาน การเงิน หรือสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง
    • อาจแสดงออกในรูปแบบของการคิดซ้ำ ๆ เกี่ยวกับ “สิ่งที่อาจผิดพลาด” หรือ “สิ่งที่ควรทำให้ดีกว่านี้” ทำให้จิตใจไม่สงบ
    • ผู้ที่มีอาการเหล่านี้อาจมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการตัดสินใจสำคัญเพราะกลัวผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
  2. อารมณ์ที่สับสน หรือหงุดหงิด
    • อาจสังเกตได้ว่าผู้ที่มีอาการวิตกกังวลมักมีอารมณ์แปรปรวนง่าย เช่น โกรธหรืออารมณ์เสียกับเรื่องเล็กน้อย
    • อาการสับสนมักเกิดขึ้นเมื่อความวิตกกังวลส่งผลต่อการประมวลผลความคิด ทำให้ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่เผชิญอยู่ได้
    • บางคนอาจรู้สึกท้อแท้หรือหมดแรงง่าย แม้จะยังไม่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง
  3. มีปัญหาในการนอนหลับ
    • เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยที่สุด โดยผู้ที่มีอาการวิตกกังวลอาจประสบปัญหา นอนไม่หลับ เพราะความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว
    • หรืออาจ หลับยาก เพราะมีอาการร่างกายตื่นตัว เช่น หัวใจเต้นเร็ว หรือกล้ามเนื้อเกร็งจากความเครียด
    • เมื่อหลับได้แล้ว อาจตื่นขึ้นมากลางดึกและไม่สามารถกลับไปหลับต่อได้ ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียในวันถัดไป
  4. หัวใจเต้นเร็ว หรือมีเหงื่อออก
    • เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อความวิตกกังวลที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น หัวใจเต้นแรงหรือเร็วผิดปกติเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กดดัน
    • เหงื่อออกมากแม้อยู่ในที่ที่ไม่ร้อน เช่น ฝ่ามือชื้นเหงื่อเมื่อเผชิญหน้ากับคนจำนวนมากหรือการสอบสัมภาษณ์
    • อาการเหล่านี้มักจะสัมพันธ์กับความรู้สึกของการ “หนีหรือสู้” ซึ่งเป็นกลไกปกติของร่างกายเมื่อเผชิญกับความเครียด

อาการเหล่านี้มักจะหายไปเมื่อสถานการณ์ที่ทำให้วิตกกังวลจบลง และโดยส่วนใหญ่ การใช้วิธีการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การผ่อนคลายหรือการออกกำลังกาย จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้

อาการวิตกกังวล

อาการวิตกกังวล สู่ โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) เมื่อความวิตกกังวลกลายเป็นปัญหาทางจิตใจ

โรควิตกกังวล หรือ Anxiety Disorder เป็นภาวะทางจิตใจที่ทำให้คนที่ประสบปัญหามีความรู้สึกวิตกกังวลหรือกลัวในระดับที่สูงและยาวนานจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โรควิตกกังวลไม่ใช่แค่ความรู้สึกวิตกกังวลที่เกิดขึ้นชั่วขณะ แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจทำให้ผู้ที่ประสบปัญหานี้รู้สึกหมดพลังงานหรือไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ

ประเภทของโรควิตกกังวลที่พบบ่อย

  • โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder – GAD)
    • ลักษณะ: ผู้ป่วยจะมีความวิตกกังวลอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถควบคุมได้ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การทำงาน สุขภาพ หรือความสัมพันธ์
    • อาการ: รู้สึกกระวนกระวาย เหนื่อยล้า นอนไม่หลับ ปวดหัว หรือปวดกล้ามเนื้อ
    • ผลกระทบ: อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานและการเข้าสังคมลดลง
  • โรคแพนิค (Panic Disorder)
    • ลักษณะ: มีอาการตกใจหรือกลัวรุนแรงอย่างเฉียบพลัน (Panic Attack) โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
    • อาการ: หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่ออก วิงเวียนศีรษะ เหงื่อออกมาก รู้สึกเหมือนจะตาย
    • ผลกระทบ: ผู้ป่วยอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เคยเกิดอาการจนกระทบชีวิตประจำวัน
  • โรคกลัวเฉพาะเจาะจง (Specific Phobias)
    • ลักษณะ: ความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผลต่อสิ่งของหรือสถานการณ์เฉพาะ เช่น กลัวงู กลัวที่แคบ
    • อาการ: หลีกเลี่ยงสิ่งที่กลัว รู้สึกเครียดหรือหายใจไม่ออกเมื่อเผชิญกับสิ่งนั้น
    • ผลกระทบ: จำกัดการใช้ชีวิต เช่น ไม่สามารถเดินทางไปสถานที่บางแห่งได้
  • โรควิตกกังวลต่อการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder – SAD)
    • ลักษณะ: ความกลัวต่อการถูกตัดสินจากคนอื่นในสถานการณ์สังคม
    • อาการ: หลีกเลี่ยงการพูดในที่สาธารณะ หรืองานสังคม มีเหงื่อออกหรือสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น
    • ผลกระทบ: อาจส่งผลต่อการทำงานหรือการสร้างความสัมพันธ์
  • โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder – OCD)
    • ลักษณะ: ความคิดหรือภาพที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนก่อให้เกิดความวิตกกังวล และการทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ เพื่อลดความวิตกนั้น
    • อาการ: ล้างมือหลายครั้ง เก็บสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเกินไป
    • ผลกระทบ: สูญเสียเวลาในชีวิตประจำวันและอาจสร้างความเครียดให้กับคนรอบข้าง
  • โรคเครียดหลังเหตุการณ์รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder – PTSD)
    • ลักษณะ: เกิดจากประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น อุบัติเหตุ การสูญเสีย หรือเหตุการณ์ความรุนแรง
    • อาการ: ฝันร้าย หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์
    • ผลกระทบ: ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้
  • โรควิตกกังวลจากการแยกตัว (Separation Anxiety Disorder)
    • ลักษณะ: กลัวการแยกจากคนที่รักหรือคนที่พึ่งพิง เช่น พ่อแม่ คู่ชีวิต
    • อาการ: ร้องไห้หรือวิตกกังวลเกินเหตุเมื่อแยกจากคนเหล่านั้น
    • ผลกระทบ: รบกวนความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน

ผลกระทบของโรควิตกกังวล

  1. ผลกระทบทางร่างกาย ความเครียดที่สะสมจากโรควิตกกังวลสามารถทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, และปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาการกรดไหลย้อน หรือท้องอืด นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดศีรษะและปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการทำงานหรือการดำเนินชีวิตประจำวันลดลง
  2. ผลกระทบทางจิตใจ การวิตกกังวลสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้า, ความรู้สึกหงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกไร้ค่าได้ ความวิตกกังวลยังอาจส่งผลกระทบต่อการมีสมาธิ, การตัดสินใจ, และความจำ โดยอาจทำให้ผู้ที่เป็นโรควิตกกังวลรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจและสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง
  3. ผลกระทบต่อสังคม ผู้ที่มีอาการวิตกกังวลอาจมีแนวโน้มที่จะปลีกตัวหรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมและการติดต่อกับผู้อื่น ส่งผลให้สูญเสียความสัมพันธ์ที่สำคัญ เช่น คู่รัก เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัว ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลมากขึ้น
  4. ผลกระทบต่อการทำงานและการเรียน ผู้ที่มีอาการวิตกกังวลอาจรู้สึกไม่สามารถจดจ่อกับงานหรือการเรียนได้ อาจทำให้การทำงานช้าลง หรือลืมรายละเอียดที่สำคัญในงาน การตัดสินใจที่ผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือการละเลยในหน้าที่การงาน

อาการวิตกกังวล และโรควิตกกังวลแตกต่างกันอย่างไร?

แม้ว่า อาการวิตกกังวล และ โรควิตกกังวล จะมีลักษณะคล้ายกันในบางแง่มุม แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ:

อาการวิตกกังวล โรควิตกกังวล
เป็นความรู้สึกชั่วคราว เกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีสถานการณ์เครียด ความวิตกกังวลรุนแรงและเกิดขึ้นต่อเนื่อง
มักไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลกระทบต่อการทำงาน ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิต
สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย ต้องการการรักษาอย่างจริงจัง เช่น การบำบัดหรือการใช้ยา

วิธีการรักษาเกี่ยวกับความวิตกกังวล

การจัดการกับความวิตกกังวลขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น โดยมีวิธีการรักษาหลักดังนี้:

1. การบำบัดทางจิต (Psychotherapy)

การบำบัดทางจิต เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) เป็นวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายสำหรับโรควิตกกังวล CBT ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีปรับเปลี่ยนความคิดที่ไม่เหมาะสม รวมถึงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล นอกจากนี้ การบำบัดแบบ Exposure Therapy อาจช่วยให้ผู้ป่วยเผชิญกับสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัวในลักษณะที่ปลอดภัย

2. การใช้ยา (Medication)

สำหรับบางกรณีที่อาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาต้านอาการวิตกกังวล เช่น ยาต้านซึมเศร้า (SSRIs) หรือยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

3. การฝึกสมาธิและการผ่อนคลาย

การฝึกสมาธิ เช่น Mindfulness Meditation ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถอยู่กับปัจจุบันและลดความวิตกกังวลที่เกิดจากการคิดถึงอนาคตหรือเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ อีกทั้งการทำเทคนิคผ่อนคลาย เช่น Progressive Muscle Relaxation หรือการหายใจลึก ๆ (Deep Breathing) ช่วยให้ระบบประสาทสงบลง ลดระดับความเครียดและความวิตกกังวลในระยะสั้น

4. การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน วิ่ง หรือโยคะ ช่วยให้ร่างกายปลดปล่อย เอ็นโดรฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยลดความเครียดและทำให้อารมณ์ดีขึ้น เอ็นโดรฟินทำหน้าที่เป็นสารที่ช่วยเพิ่มความสุขและผ่อนคลาย ทั้งยังมีผลดีต่อการลดความวิตกกังวลในระยะยาวอีกด้วย การออกกำลังกายนั้นยังสามารถช่วยปรับสมดุลของระบบประสาท และช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดจากความวิตกกังวล และช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนจากความเครียด จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดอาการวิตกกังวลและช่วยให้กลับมามีความรู้สึกสงบได้ในระยะยาว

5. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

  • หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีนและแอลกอฮอล์
  • กำหนดเวลาในการพักผ่อนและการทำงานให้สมดุล
  • ฝึกเทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การทำ To-do List เพื่อวางแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพ

การวินิจฉัยโรควิตกกังวล

  1. การสัมภาษณ์ทางคลินิก ผู้เชี่ยวชาญจะถามเกี่ยวกับอาการ ความถี่ และความรุนแรง รวมทั้งการประเมินประวัติครอบครัวและปัจจัยเสี่ยง
  2. การใช้แบบประเมินมาตรฐาน การใช้แบบสอบถาม เช่น GAD-7, PHQ-9 หรือแบบประเมิน PTSD หรือการประเมินระดับความวิตกกังวลและผลกระทบที่มีต่อชีวิต
  3. การตรวจสอบภาวะทางกาย การตรวจร่างกายเพื่อหาปัจจัยทางกายภาพ เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ หรือการเจาะเลือดหรือสแกนสมองเพื่อหาสาเหตุอื่น
  4. การติดตามอาการในระยะยาว โดยใช้การสังเกตว่าความวิตกกังวลยังคงมีอยู่ หรือเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาใด

เมื่อใดที่ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ?

  • เมื่อปัญหาส่งผลต่อชีวิตประจำวัน ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือเรื้อรังอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานที่ลดประสิทธิภาพลง, การขาดสมาธิ, การรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียดจนไม่สามารถสนุกกับกิจกรรมที่เคยชอบได้ การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญถือเป็นวิธีที่ดีเพื่อช่วยลดความเครียดและนำทางไปสู่การจัดการกับความวิตกกังวลอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง หลายครั้งที่เราพยายามจัดการกับความวิตกกังวลโดยใช้วิธีต่าง ๆ เช่น การพยายามบังคับตัวเองให้ผ่อนคลาย หรือการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล แต่บางครั้งการพยายามเหล่านั้นอาจไม่ได้ผล และทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังหรือท้อถอย การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาจากมุมมองที่กว้างขึ้นและได้รับคำแนะนำในวิธีการจัดการกับความวิตกกังวลอย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณรู้สึกว่าอาการวิตกกังวลเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การเรียน หรือรวมไปถึงการทำงาน การเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง โดย Mental Well Clinic เป็นคลินิกที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือนักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ที่มีภาวะวิตกกังวล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับความวิตกกังวลได้อย่างยั่งยืน

ทำไมต้องเลือก Mental Well Clinic

ที่ Mental Well Clinic เรามีบริการ Private Counseling ให้คำปรึกษาส่วนตัว ที่ช่วยให้คุณได้พูดคุยอย่างปลอดภัย และมีความเป็นส่วนตัว เพื่อแก้ไขปัญหาทางจิตใจ หากคุณกำลังเผชิญกับความเครียดที่เกิดจากอาการวิตกกังวลต่าง ๆ ที่มีผลมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน Mental Well Clinic ยินดีที่จะช่วยให้คุณจัดการกับปัญหาด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขและสมดุลอีกครั้ง

ติดต่อเรา วันนี้เพื่อเริ่มต้นการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตและค้นพบวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการกับความวิตกกังวลของคุณ

contact us

 

บทความเพิ่มเติม