ความเครียด มีมากแค่ไหนถึงต้องพบนักจิตวิทยา

ความเครียด

ความเครียด (Stress) เป็นภาวะทางอารมณ์และร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับแรงกดดันหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย ซึ่งอาจเป็นทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น งานที่หนัก ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ปัญหาทางการเงิน หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต แม้ว่าความเครียดจะเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยให้เราตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม แต่หากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรงเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ

ความเครียด

ทำไมเราควรให้ความสำคัญกับ ความเครียด?

ความเครียด ถือเป็นภาวะที่ทุกคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติที่ช่วยให้เราตื่นตัว และพร้อมรับมือกับปัญหา แต่หากความเครียดสะสมมากเกินไปโดยไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางกาย และจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาที่กระทบต่อชีวิตในระยะยาว

1. ความเครียดเรื้อรัง อาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวล และซึมเศร้า

เมื่อเราเผชิญกับความเครียดในระยะเวลานาน สมองจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้เรารู้สึกกังวล หวาดระแวง หรือซึมเศร้า ความเครียดที่ไม่ได้รับการจัดการอาจทำให้เกิดความคิดด้านลบ ความรู้สึกหมดหวัง และเสี่ยงต่อการพัฒนาสู่ภาวะซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล นอกจากนี้ ความเครียดยังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการตื่นตระหนก (Panic Attack) ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก และหายใจลำบาก ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก

2. ความเครียดส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย

ฮอร์โมนความเครียดที่ถูกหลั่งออกมาอย่างต่อเนื่องสามารถส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ได้แก่

  • ระบบประสาทและการนอนหลับ ความเครียดทำให้สมองตื่นตัวมากเกินไป ส่งผลให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท หรือมีอาการนอนไม่หลับ (Insomnia) ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและส่งผลต่อความสามารถในการทำงานในแต่ละวัน

  • อาการปวดศีรษะและกล้ามเนื้อ เมื่อเครียด ร่างกายมักจะเกร็งกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการปวดตึงบริเวณคอ ไหล่ หรือศีรษะ ซึ่งอาจนำไปสู่ไมเกรนหรืออาการปวดเรื้อรัง

  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความเครียดที่ต่อเนื่องทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้ร่างกายอ่อนแอและมีโอกาสป่วยง่ายขึ้น เช่น เป็นหวัดบ่อย หรือมีอาการของโรคภูมิแพ้กำเริบ

  • ระบบทางเดินอาหาร ความเครียดสามารถกระตุ้นให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะ ลำไส้แปรปรวน (IBS) หรืออาหารไม่ย่อย

3. ความเครียด ส่งผลต่อพฤติกรรมและอารมณ์

เมื่อความเครียดสะสมเป็นเวลานาน อาจทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น

  • หลีกเลี่ยงสังคม รู้สึกอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากพบปะผู้คน หรือรู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์จนไม่สามารถเข้าสังคมได้เหมือนเดิม

  • สูญเสียความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขอาจไม่รู้สึกน่าสนใจอีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะเครียดสะสมและเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า

  • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ความเครียดอาจทำให้บางคนพยายามหาทางออกด้วยพฤติกรรมที่เป็นอันตราย เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ หรือการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

4. ความเครียด อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และประสิทธิภาพในการทำงาน

  • กระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ความเครียดอาจทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือไม่มีอารมณ์ร่วมในการสื่อสารกับคนรอบตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาในความสัมพันธ์กับคู่รัก ครอบครัว หรือเพื่อน

  • ลดประสิทธิภาพในการทำงาน ความเครียดส่งผลต่อความสามารถในการจดจ่อและการตัดสินใจ ทำให้ทำงานผิดพลาดมากขึ้น ขาดแรงจูงใจ และอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง

5. หากปล่อยให้ความเครียดสะสม อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น

หากไม่ได้รับการดูแล ความเครียดที่สะสมอาจพัฒนาเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น

  • โรคซึมเศร้า (Depression) เกิดจากความเครียดที่สะสมเป็นเวลานาน จนส่งผลต่อการมองโลกในแง่ลบ รู้สึกหมดกำลังใจ และสูญเสียความสนใจในชีวิต

  • โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) ทำให้เกิดความกังวลตลอดเวลา กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

  • อาการตื่นตระหนก (Panic Attack) ผู้ที่มีความเครียดสูงอาจมีอาการตื่นตระหนก เช่น หายใจไม่ออก ใจสั่น รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ซึ่งเป็นอาการที่รบกวนชีวิตอย่างมาก

สัญญาณที่กำลังเตือนว่าเราควรเข้าพบนักจิตวิทยา

หลายคนอาจสงสัยว่าความเครียด หรือปัญหาทางอารมณ์ที่เผชิญอยู่หนักแค่ไหนถึงควรไปพบนักจิตวิทยา ความจริงแล้ว นักจิตวิทยาไม่ได้ให้คำปรึกษาเฉพาะผู้ที่มีภาวะทางจิตที่รุนแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คำแนะนำในการจัดการปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ความเครียดจากการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือความกดดันในชีวิตส่วนตัว หากคุณกำลังเผชิญกับอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่าคุณควรพบนักจิตวิทยาเพื่อรับคำปรึกษา

ความเครียด

1. อาการทางร่างกายที่เกิดจากความเครียด

ความเครียดที่สะสมเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อร่างกายโดยที่คุณไม่รู้ตัว เช่น

  • ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดไมเกรน – เกิดจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและระบบประสาท

  • ปวดกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ – เนื่องจากร่างกายเกิดภาวะเกร็งตัวเพราะความเครียด

  • ปัญหาทางเดินอาหาร – เช่น ท้องเสีย ท้องผูก กรดไหลย้อน หรือปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่มีแรง – แม้นอนเต็มอิ่มแต่ยังรู้สึกเหนื่อยล้า

  • ปัญหาการนอน – นอนไม่หลับ ฝันร้าย หลับไม่สนิท หรือตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อย ๆ

2. อาการทางอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

หากคุณสังเกตว่าตัวเองมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์หรือพฤติกรรมที่ไม่ปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเผชิญกับภาวะความเครียดหรือปัญหาทางจิตใจ เช่น

  • หงุดหงิดง่าย โกรธบ่อย – อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและควบคุมตนเองได้ยาก

  • รู้สึกเศร้า หดหู่ หรือหมดหวัง – ขาดความสุขในการใช้ชีวิต แม้แต่สิ่งที่เคยชอบก็ไม่สนุกอีกต่อไป

  • รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่อยากพบปะผู้คน – แยกตัวจากสังคม หรือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ

  • ขาดสมาธิ มีปัญหาในการตัดสินใจ – ไม่สามารถโฟกัสกับงานหรือสิ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวันได้

  • เบื่ออาหาร หรือกินมากเกินไป – มีพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนแปลงไปผิดปกติ

3. มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์

อารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรงอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์และการทำงาน หากคุณรู้สึกว่า:

  • มีอารมณ์แปรปรวนบ่อย

  • ร้องไห้ง่าย รู้สึกสิ้นหวังโดยไม่มีสาเหตุ

  • ไม่สามารถจัดการกับความเครียดหรือความวิตกกังวลได้

4. มีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีพฤติกรรมเหล่านี้ ควรรีบขอความช่วยเหลือโดยด่วน:

  • มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย – หากคุณรู้สึกสิ้นหวังจนมีความคิดเช่นนี้ ไม่ควรเก็บไว้เพียงลำพัง

  • ใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์เพื่อหลีกหนีปัญหา – พฤติกรรมนี้อาจนำไปสู่การเสพติดและทำให้ปัญหาหนักขึ้น

  • ก้าวร้าวหรือมีพฤติกรรมรุนแรงต่อผู้อื่น – อาจแสดงออกผ่านคำพูดหรือการกระทำที่รุนแรงมากขึ้น

ความแตกต่างระหว่าง ความเครียด แบบปกติ กับภาวะวิตกกังวลเรื้อรัง

ความเครียด และวิตกกังวลเป็นสองอารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน แต่ทั้งสองมีลักษณะ และผลกระทบที่แตกต่างกัน ในขณะที่ความเครียดอาจเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่มีแรงกดดันหรือท้าทายในระยะสั้น วิตกกังวลเป็นภาวะที่อาจยืดเยื้อ และทำให้คุณรู้สึกไม่สามารถควบคุมความคิดและความรู้สึกของตนเองได้

1. ความเครียด แบบปกติ

ความเครียดแบบปกติเป็นการตอบสนองทางจิตใจและร่างกายต่อสถานการณ์ที่กระทบต่อเรา เช่น งานที่ต้องทำให้เสร็จทันเวลา ปัญหาความสัมพันธ์ หรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน เช่น อะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ซึ่งช่วยให้เรารับมือกับปัญหาในระยะสั้น

ความเครียด

  • สาเหตุ: มักเกิดจากสถานการณ์ที่ชั่วคราว เช่น การเตรียมตัวสอบ หรือกำลังทำงานสำคัญที่มีความกดดัน

  • ระยะเวลา: จะมีระยะเวลาจำกัด และมักจะลดลงหรือหายไปเมื่อสถานการณ์ผ่านพ้นไป

  • ผลกระทบ: อาจรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลเล็กน้อย แต่ยังคงสามารถจัดการกับชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

2. ภาวะวิตกกังวลเรื้อรัง

ภาวะวิตกกังวลเรื้อรังหรือโรควิตกกังวล (Generalized Anxiety Disorder: GAD) คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อความวิตกกังวลเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องและไม่สามารถควบคุมได้ แม้ในบางครั้งไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาเฉพาะตัวเอง การวิตกกังวลจะเกิดขึ้นตลอดเวลาและมักจะไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน

ภาวะวิตกกังวล

  • สาเหตุ: ไม่มีเหตุการณ์หรือสถานการณ์เฉพาะที่ทำให้วิตกกังวล แต่เป็นการคิดมากเกินไปในทุกเรื่องในชีวิต

  • ระยะเวลา: ความวิตกกังวลจะคงอยู่และรบกวนชีวิตประจำวันเป็นเวลานาน อาจเกิดขึ้นหลายเดือนหรือหลายปี

  • ผลกระทบ: ทำให้คนที่มีอาการรู้สึกเหนื่อยล้า รู้สึกเครียดเกินไปในหลายๆ ด้านของชีวิต และอาจมีปัญหาทางกาย เช่น อาการนอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว หรือปวดหัว

วิธีสังเกตว่าคุณกำลังมีแค่ “ความเครียด” หรือเป็น “โรควิตกกังวล”

1. ความถี่และระยะเวลาของ ความเครียด

  • เครียดปกติ: ความเครียดจะมีอาการชัดเจนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และหายไปเมื่อสถานการณ์ที่ทำให้เครียดจบลง

  • โรควิตกกังวล: อาการวิตกกังวลเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานและไม่มีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดโดยตรง อาจมีความวิตกกังวลทุกวันและเกือบตลอดเวลา

2. การควบคุมอารมณ์

  • เครียดปกติ: มักสามารถควบคุมความเครียดได้ดีเมื่อสถานการณ์ได้ผ่านพ้นไป

  • โรควิตกกังวล: การควบคุมความวิตกกังวลเป็นเรื่องที่ยาก และแม้จะไม่เจอสถานการณ์กดดัน ก็ยังคงรู้สึกกังวลหรือกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

3. อาการทางกาย

  • เครียดปกติ: อาจมีอาการเช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ หรือเหนื่อยล้า แต่จะค่อยๆ หายไปหลังจากความเครียดลดลง

  • โรควิตกกังวล: อาจมีอาการทางกายที่รุนแรง เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก ปวดท้อง ท้องผูก หรืออาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง

4. การหลีกเลี่ยงและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

  • เครียดปกติ: คุณสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ เพียงแค่รู้สึกเครียดมากขึ้นในบางช่วง

  • โรควิตกกังวล: คุณอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล และอาจมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงหรือปลีกตัวจากกิจกรรมที่เคยชอบ

5. ผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

  • เครียดปกติ: คุณสามารถทำงานหรือทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติหลังจากจัดการกับความเครียด

  • โรควิตกกังวล: ความวิตกกังวลทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้เต็มที่หรือมีปัญหากับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เพราะความวิตกกังวลได้รบกวนจิตใจตลอดเวลา

เตรียมพร้อม

นักจิตวิทยาช่วยอะไรได้บ้าง?

การเข้าพบนักจิตวิทยามักจะเป็นทางเลือกที่หลายคนลังเล เนื่องจากยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเข้ารับการบำบัด แต่จริงๆ แล้ว การพบกับนักจิตวิทยาไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้สึกอายหรือกลัว เพราะนักจิตวิทยาไม่ได้เป็นแค่ผู้ที่ช่วยรักษาผู้ที่มีปัญหาทางจิตที่รุนแรงเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีการรับมือกับความเครียดและความวิตกกังวลในชีวิตประจำวันได้ด้วย นักจิตวิทยาจะช่วยให้คุณได้ทำความเข้าใจตัวเอง และเสริมสร้างความสามารถในการจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ที่อาจจะกระทบต่อคุณ

นักจิตวิทยาสามารถใช้วิธีการหลากหลายเพื่อช่วยให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการที่มักถูกใช้ในการบำบัด ได้แก่

  • การบำบัดพฤติกรรมและความคิด (CBT): ช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนความคิดที่เป็นปัญหาและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
  • เทคนิคการผ่อนคลาย: การฝึกสมาธิ การหายใจลึก ๆ การทำโยคะ เป็นต้น
  • การให้คำปรึกษาเชิงบำบัด: ช่วยให้คุณค้นพบต้นตอของปัญหาและแนวทางแก้ไข
  • การให้กำลังใจและแนวทางในการดูแลสุขภาพจิต

วิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นก่อนเข้าพบนักจิตวิทยา

การดูแลตนเองเบื้องต้นเป็นขั้นตอนสำคัญในการช่วยจัดการกับความเครียดก่อนที่คุณจะตัดสินใจเข้าพบนักจิตวิทยา หรือหากคุณยังไม่พร้อมจะไปพบผู้เชี่ยวชาญ วิธีการเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถดูแลจิตใจของตัวเองได้ในระยะสั้น ๆ และยังช่วยสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับร่างกายและจิตใจ:

1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเครียด เพราะมันช่วยกระตุ้นการผลิตสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ช่วยสร้างความรู้สึกดีและช่วยผ่อนคลายความเครียด นอกจากนี้ยังช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ที่เป็นฮอร์โมนความเครียด จึงช่วยให้คุณรู้สึกสงบและมีพลังมากขึ้น

2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอมีผลต่อสุขภาพจิตใจโดยตรง เพราะเมื่อคุณพักผ่อนอย่างเต็มที่ ร่างกายจะฟื้นฟูทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การนอนหลับไม่เพียงพอสามารถเพิ่มความเครียดและทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดง่าย จึงควรตั้งเป้าหมายให้นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้สมองและร่างกายมีเวลาฟื้นฟู

3. ฝึกการหายใจและทำสมาธิ การฝึกหายใจลึก ๆ และการทำสมาธิเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความวิตกกังวลและช่วยให้สมองสงบลง เทคนิคการหายใจที่ถูกต้อง เช่น การหายใจลึก ๆ และการหายใจช้า ๆ ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย และช่วยให้จิตใจไม่ว้าวุ่น

4. หลีกเลี่ยงสารเสพติด การหลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือสารกระตุ้นที่มีผลทำให้ร่างกายตื่นตัวมากเกินไป สามารถช่วยลดระดับความเครียดได้ สารเหล่านี้อาจทำให้ระดับความวิตกกังวลสูงขึ้น หรือส่งผลให้คุณมีปัญหาการนอนหลับ จึงควรระมัดระวังในการใช้สารเหล่านี้ในช่วงที่รู้สึกเครียด

5. พูดคุยกับคนใกล้ชิด การได้พูดคุยและระบายความรู้สึกกับคนที่ไว้ใจ เช่น ครอบครัว เพื่อนสนิท หรือคนรัก สามารถช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและลดความเครียดได้ การที่เราได้ระบายความรู้สึกกับคนอื่นทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และสามารถมองปัญหาหรือความเครียดในมุมมองที่แตกต่างออกไป

ทำไมต้องเลือก Mental Well Clinic

ที่ Mental Well Clinic เรามีบริการ Private Counseling ให้คำปรึกษาส่วนตัว ที่ช่วยให้คุณได้พูดคุยอย่างปลอดภัย และมีความเป็นส่วนตัว เพื่อแก้ไขปัญหาทางจิตใจ หากคุณกำลังเผชิญกับความเครียดที่เกิดจากความเครียด ความวิตกกังวลต่างๆ Mental Well Clinic ยินดีที่จะช่วยให้คุณจัดการกับปัญหาด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ และช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขและสมดุลอีกครั้ง

ติดต่อเรา วันนี้เพื่อเริ่มต้นการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตและค้นพบวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการกับความเครียด ที่เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคุณ

contact us

บทความเพิ่มเติม